คำอาลัย พ่อแม่พี่น้อง

  • เมษายน 7, 2013

คำไว้อาลัยถึงปิ่น

นาวาเอก ประพันธ์ ปุราเท คุณพ่อของร.ต.อ.ปิ่นทัพ ปุราเท


 

นาวาเอก ประพันธ์ ปุราเท และลูกชาย ร.ต.อ. ปิ่นทัพ ปุราเท

 

สิ่งเหล่านี้ พ่อเชื่อว่าเป็นแนวคิดส่วนหนึ่งที่ปิ่นได้ซึมซับจากสิ่งที่พ่อได้เคยเลี้ยงดู อบรมสั่งสอน และเป็นคำถามที่พ่อเคยตั้งไว้ให้ลูกปิ่นได้นำไปคิดทบทวนหาคำตอบและเหตุผลด้วยตัวของปิ่นเอง

1. การเล่าหรือการฟังนิทานหรือเรื่องราวต่างๆ พร้อมการตั้งคำถามเพื่อวิเคราะห์หาเหตุและผลเป็นคำตอบด้วยนั้น สามารถสร้าง “คน” ได้จริงๆ
2. “อดทนเอา” คือคำพูดที่ติดปากปิ่นตั้งแต่เด็ก เมื่อยามต้องฝ่าฝันอุปสรรคอย่างไม่ย่อท้อ
3. เราสอนให้ “เอาความจริงมาคุยกันแล้วจึงค่อยคิดกระทำในหนทางที่เหมาะสม”และไม่โกหกพ่อแม่
4. ทำไมจึงต้องเริ่มต้นบันไดทีละขั้น
5. ทำไมจึงต้องจัดตารางสอน -> การสร้างวินัยด้วยการจัดระเบียบให้กับตนเอง
6. ทำไมจึงต้องเรียนหนังสือให้เก่ง ->ตั้งโจทย์เองบ้างสิ (จะได้รู้ว่าครูจะออกข้อสอบเป็นอย่างไร)
7. ถ้าคนรุ่นใหม่ (ลูก) ไม่ฉลาดกว่าคนรุ่นเก่า (พ่อแม่) แล้วโลกจะพัฒนาขึ้นได้อย่างไร
8. ชอบวาดภาพการ์ตูน (สวยมาก เหมือนภาพต้นแบบมาก) แสดงถึงนิสัยเป็นอย่างไร
9. ทำไมจึงได้เป็นผู้เลือก แทนที่จะเป็นผู้ถูกเลือก
10. ใครสอนให้เป็นผู้นำ / ทำไมจึงชอบที่จะอ่านหนังสือปรัชญา “เซน” , “เต๋า” , “สามก๊ก” , “ซุนวู” ทั้งที่ตนเองเพิ่งเรียนอยู่ชั้น ม.4
11. ทำไมจึงเลือกเหล่าตำรวจ
12. ทำไมจึงเลือกเป็นตำรวจพลร่มค่ายนเรศวร
13. “คน” มีทั้งไม่ฉลาด/ฉลาด/และฉลาดแกมโกง
14. ให้โอกาสกับคนที่ไม่รู้ ให้เขาได้รู้ เป็นการช่วยที่ดีที่สุด
15. “การอธิบาย” ยากกว่า “สั่ง” แต่ดีที่สุดที่จะใช้กับ “บัณทิต”
16. เป็นตัวอย่างแก่ผู้อื่นด้วยการกระทำภาระนั้นให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์
17. ทำไมจึงเลือกลงไปที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ช่วยราชการกองกำกับการ 1 ทั้งที่ตนเองสังกัดกองกำกับการ 3)
18. ทำไมจึงต้องพัฒนาหน่วย (กำลังพล + ยุทโธปกรณ์) “กู้ชีพ”
19. ความหวัง(งาน) ของลูกที่พูดให้แม่ยอมรับการตัดสินใจของลูกเมื่อมกราคม 2556
20. การกระทำของลูกสอนอะไรให้กับครอบครัวของเราบ้าง

 

คุณแม่ยาใจ ปุราเท


 

 คุณแม่ ยาใจ ปุราเท และ ลูกชาย  ร.ต.อ. ปิ่นทัพ ปุราเท

 

วันอาทิตย์ที่ 6– วันจันทร์ที่ 7 มกราคม 2556:
ลูกไม่ได้โทรหาแม่

วันอังคารที่ 8 มกราคม 2556:
แม่ทำแก้วกาแฟแตก มันตั้งอยู่บนโต๊ะ แม่ไม่รู้ว่าแม่ทำมันตกแตกได้อย่างไร ซึ่งแม่เองไม่คิดเลยว่าเวลานั้นมันเป็นเวลาที่ลูกจะจากแม่ไป วินาทีสุดท้ายของลูกก็ยังคิดถึงแม่อยู่ แม่รู้ตลอดเวลาว่าลูกรักพ่อกับแม่แค่ไหน แม่ใจจะขาด หลับซะลูก พักผ่อนให้สบาย แม่สบายดี แม่มีความสุข ไม่ต้องเป็นห่วงแม่ คิดถึงนะ

วันพุธที่ 9 มกราคม 2556:
ลูกรักค่ายนเรศวรมาก ลูกไม่อยากจากไปไหน วันนี้ แม่ขอพาลูกกลับบ้านเกิด ไปกับแม่ก่อนนะ ลูกเป็นคนชลบุรีแต่ลูกเติบโตที่สมุทรปราการ บ้านที่เชียงใหม่ของเราลูกบอกแม่ว่า บ้าน “ไฮโซ” มีบ้านไฮโซที่เชียงใหม่ด้วย ลูกตามใจพ่อกับแม่ เรามีบ้านที่เชียงใหม่อีกหลัง ลูกบอกเวลาคนถามว่าเป็นคนจังหวัดไหน ปิ่นตอบไม่ถูกว่าเป็นคนจังหวัดไหน วันนี้แม่รู้ว่าลูกรักชะอำ ค่ายนเรศวรนี้มาก ลูกบอกเสมอว่ามันน่าอยู่มาก แล้วแม่จะพาลูกกลับไปส่งนะ แม่สบายดี ไม่ต้องห่วงแม่ พักผ่อนให้สบาย

วันพฤหัสที่ 10 มกราคม 2556:
แม่ฝันร้ายใช่ไหม แม่พยายามที่จะเข้าใจว่านี่ไม่ใช่ฝันนะ มันคือเรื่องจริงที่เกิดกับตัวแม่ แม่ใช้สมุดโน๊ตของปิ่นที่อยู่ในเป้ใบที่ติดตัวลูกอยู่เสมอ ตั้งแต่แม่จำได้ลูกจะมีสมุดโน๊ตเล็กๆ ติดตัวอยู่เสมอ เมื่อลูกกลับบ้านลูกจะวางสิ่งของของลูก เช่น เป้ ปืน นาฬิกา โทรศัพท์ และอื่นๆ สิ่งของเหล่านี้จะถูกวางไว้อย่างมีระเบียบใกล้ตัวลูก และสิ่งหนึ่งที่แม่เห็นก็คือสมุดโน๊ต ทุกครั้งแม่จะหยิบขึ้นมาเปิดดู ข้อความต่างๆ ในสมุดนั้น จะมีแต่เรื่องงานของลูก ชื่อคน ชื่อสถานที่ แผนที่ หรือสัญลักษณ์ต่างๆ ที่ลูกเขียนเตือนตัวเองในการทำงาน
แม่มองลูกเป็นเด็กตัวเล็กๆ ของแม่เสมอ แม่ไม่เคยรู้เลยว่าลูกทำอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ร้อยเท่าพันเท่า ทุกเสี้ยววินาทีอยู่กับความเป็นความตายตลอดเวลา

ปิ่นลูกแม่…ลูกไม่เคยทำให้แม่เสียใจเลย แม่ภูมิใจในตัวลูกเสมอ “อดทนเอา” คำพูดนี้แม่ใช้เลี้ยงลูก สั่งสอนลูก ตั้งแต่ลูกยังเล็กๆ ตอนเด็กๆ ลูกจะพูดไม่ชัด ลูกจะพูดว่า “อกทงเอา” ลูกเจ็บ ลูกก็จะบอกว่า “อกทงเอา” โธ่เอ๊ยยย…ลูก…วันนี้หนูไม่เจ็บนะ…อดทนเอานะลูก พักผ่อนซะ หลับให้สบาย ไม่ต้องเป็นห่วงแม่ แม่สบายดี แม่แข็งแรงดี พ่อก็สบายดี พ่อกับแม่มีความสุข พี่ปรางค์เค้าดูแลพ่อแม่เป็นอย่างดี

วันศุกร์ที่ 11 มกราคม 2556:
วันนี้แม่ต้องเขียนถึงปิ่นที่ผ่านมาเราจะคุยกันทางโทรศัพท์ จะมีเสียงโต้ตอบกันระหว่างแม่กับปิ่น แม่ชื่นใจทุกครั้งที่ได้ยินเสียงปิ่น และเมื่อปิ่นได้ทำงานมีภาพออกสื่อ ทุกครั้งเมื่อแม่เห็นปิ่น หัวใจแม่มันอิ่มเอิบ มีความสุขทุกครั้งไป แต่วันนี้ ไม่มีเสียงของลูก ภาพเคลื่อนไหวของลูกที่เป็นจริง ให้แม่ได้รับรู้อีกแล้ว ยากนะ…กับการที่จะทำใจให้ยอมรับได้ แม่ปลอบพ่อ ปลอบตัวเองว่า ลูกไปทำงาน เพราะเราจะพบกันไม่บ่อยนัก แทบจะนับจำนวนครั้งได้ตั้งแต่ลูกเริ่มเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร คำว่าลูกไปทำงาน เป็นคำพูดที่ทำให้แม่ยอมรับได้ในขณะหนึ่ง แต่แม่จะพยายามจดจำคำพูดนี้และทำให้แม่ยอมรับว่าลูกไปทำงานให้ได้…ลูกทำงานแต่ลูกไม่เคยทำให้แม่น้อยใจ เสียใจเลย เราเหมือนอยู่ใกล้กันตลอดเวลา ลูกจะโทรหาแม่พูดถามความเป็นอยู่ของแม่ทุกวัน

ปิ่น : “แม่คร้าบ แม่ทำอะไรอยู่ครับ แม่กินข้าวหรือยังครับ ปิ่นคิดถึงแม่นะครับ แม่สบายดีนะครับ ปิ่นสบายดีครับแม่”
แม่ : “แม่สบายดีลูก แม่ทำ…….อยู่ แม่กินข้าวแล้ว แล้วลูกกินหรือยังครับ ไม่ต้องเป็นห่วงแม่ พ่อกับแม่สบายดี พ่อกับแม่มีความสุข พี่ปรางค์เค้าดูแลพ่อกับแม่เป็นอย่างดี ไม่ต้องเป็นห่วง ขอพระคุ้มครอง เทวดาคุ้มครองลูกนะ

ประโยคเดิมๆ ซ้ำๆ แต่ทุกครั้งที่ได้ยิน มันคือน้ำทิพย์ชะโลมหัวใจของแม่ เหนื่อยก็หาย ทุกข์ก็คลาย มีความสุขเหลือล้น แม่ภูมิใจในตัวลูกมาก ตั้งแต่เล็กจนโตลูกเป็นเด็กดีเสมอต้นเสมอปลาย เมื่อลูกเติบใหญ่ลูกก็ทำให้แม่ภูมิใจ แม่รักลูกเหลือเกิน ถึงแม้ว่าปิ่นจะจากแม่ไปแล้ว ลูกก็ยังคงทำให้แม่มีความสุข ความภูมิใจได้มากมายขนาดนี้ แม่คิดถึงลูกเหลือเกิน อยากกอดลูกเหลือเกิน แม่จะไม่ตำหนิลูกเลยที่ลูกจากแม่ไป แม่ขอให้ลูกหลับให้สบาย พักผ่อนนะลูก หนูเหนื่อยมามากแล้ว แม่ดูแลตัวเองได้ แม่แข็งแรงดี แม่มีความสุข ไม่ต้องเป็นห่วงแม่ แม่คิดถึงลูกเสมอ

วันเสาร์ที่ 12 มกราคม 2556:
ลูกจะพูดถึงแม่ให้ใครๆ ฟัง วันนี้คนเหล่านั้นเค้าได้พบกับแม่และถ่ายทอดให้แม่ฟังว่าลูกพูดถึงแม่อย่างไรบ้าง ความกตัญญูของลูกที่ลูกมีต่อพ่อแม่ ลูกไม่ได้เพียงแต่พูดสิ่งที่ลูกปฏิบัติต่อพ่อแม่นั้นมันมากมาย หล่อเลี้ยงหัวใจพ่อแม่อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ไม่เคยขาดตกบกพร่องเลย
และวันนี้แม่ยังได้รับรู้ถึงสิ่งที่ลูกได้ทำไว้ให้คนทั้งหลายเขาเล่าขานต่อ แม่ไม่เคยรู้เลยว่าลูกทำอะไรบ้าง ในขณะที่ลูกยังมีชีวิตอยู่ แม่รู้เพียงแต่ว่าลูกไปทำงาน แม่ไม่เคยรู้เลยว่างานของลูก ลูกใช้เวลากี่ชั่วโมงต่อวันแต่ลูกไม่เคยลืมที่จะโทรหาแม่ทุกวัน “แม่ครับ แม่ทำอะไรอยู่ แม่กินข้าวหรือยัง แม่สบายดีมั้ยครับ แม่อยากได้อะไรบ้าง เงินพอใช้มั้ย ปิ่นคิดถึงแม่นะครับ”
ลูกจะไม่เคยวางสายโทรศัพท์ก่อน นอกเสียจากจะมีการโทรเข้า ปิ่นก็จะบอกแม่ว่า เดี๋ยวปิ่นโทรหาแม่อีกนะครับ แม่เสียเองกลับกลัวรบกวนการทำงานของลูก และจะขอเป็นฝ่ายจบการสนทนาเอง ด้วยคำอวยพรว่า “แม่สบายดีครับ ไม่ต้องห่วง พระคุ้มครองเทวดาคุ้มครองลูกนะ”
หลายๆ คนจะพูดถึงความสูญเสียของลูกว่า เสียดายนะ อายุสั้น ไม่น่าเลย… แต่แม่ไม่คิดเช่นนั้น แม่คิดว่าคนเราถ้าจะอยู่ถึงร้อยปี แต่ไม่มีคุณค่าก็เท่านั้น ลูกทำเยอะมาก ลูกเป็นตัวอย่างที่ดี แม่ภูมิใจ ขอให้บุญกุศลในสิ่งที่ลูกทำ จงส่งผลให้ลูกมีความสุข แม่รักลูก รักลูกเหลือเกิน ลูกเคยบอกว่าอยู่ที่ไหนก็ตายครับแม่ แม่ตอบว่าใช่แล้วลูก จะจากเป็นหรือจากตาย ก็ต้องจาก เราไม่ทุกข์เน๊าะ วันนี้ปิ่นจากตาย ที่ผ่านมาปิ่นจากเป็น แต่ความรู้สึกนี้ ขณะนี้ แม่มีความรู้สึกว่า ปิ่นก็ยังอยู่รอบกายแม่ตลอดเวลา ไม่ต้องห่วงแม่ แม่สบายดี พี่ปรางค์ดูแลพ่อแม่อย่างดี ลูกพักผ่อนให้สบาย ขอให้ลูก มีความสุข ในสรวงสวรรค์ จากนี้ไปแม่ก็จะเขียนบันทึกถึงลูกทุกวันแบบนี้เรื่อยไป
จากแม่ที่รักลูกมาก

 

เภสัชกรหญิง ปางทิพย์ ปุราเท  (พี่สาว)


 

เภสัชกรหญิง ปางทิพย์ ปุราเท และน้องชาย  ร.ต.อ. ปิ่นทัพ ปุราเท


“น้องปิ่น” “พี่ปาง” เป็นคำที่เราเรียกกันตั้งแต่เด็กๆ ในตอนเป็นเด็กปิ่นเป็นคนที่ตลก น่ารัก บางครั้งดูเหมือนจะอ่อนแอ ด้วยความที่ดิฉันเองเป็นพี่สาวคนโตคนเดียวมีความรู้สึกว่าจะต้องเข้มแข็งจะต้องปกป้องครอบครัว ปกป้องน้อง และพยายามสอนน้องให้เข้มแข็ง หลายๆ อย่างปิ่นทำตามในสิ่งที่ดิฉันสนใจ ไม่ว่าจะเป็นเล่นกีฬา วาดรูป ของที่สะสม เล่นดนตรี การศึกษา แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือปิ่นทำสิ่งเหล่านั้นได้ดีในแบบของปิ่นเอง และทำได้ดียิ่งกว่าเมื่อเขาเติบโตขึ้นไป จนวันหนึ่งเขาเจริญเติบโตจนดิฉันที่เป็นพี่เองแทบไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือน้องชายตัวน้อยคนเดิม เขาเป็นคนยิ่งใหญ่ที่ทำคุณประโยชน์ให้แก่สังคมโดยแท้จริง ไม่มีนอกไม่มีใน ไม่มีเอนเอียง ไม่มีแบ่งฝ่าย มีแต่ความเสียสละเรื่องส่วนตัวเพื่อส่วนรวมโดยแท้
ในวันนี้เขาได้จากร่างกายนี้ไปแล้ว แต่คุณงามความดีของเขายังปรากฎอยู่ประหนึ่งว่าเขายังไม่ได้จากเราไปไหน เรื่องของเขายังได้ยินผ่านจากปากของผู้คนต่างๆ ที่ใกล้ชิดเขาเล่าสู่กันให้ครอบครัวเราได้ฟัง ซึ่งหลายๆ เรื่องครอบครัวไม่ได้รู้เลยว่าเขาไปทำอะไรไว้บ้าง แต่สิ่งที่เขาทำยังอยู่ในใจของผู้คนที่รักเขาและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเรื่องราวของเขาจะเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนทำดีกันต่อๆ ไป
สิ่งที่อยากบอกปิ่นคือพ่อแม่เป็นหัวใจของปิ่น ไม่ต้องห่วง ปิ่นได้ทำหน้าที่ลูกที่ดีแล้ว ได้ทำตามคำสอนของปู่และพ่อที่เรียบง่าย แต่ยึดเป็นคติของครอบครัว ปุราเท เราได้คือ ถ้าเปรียบชีวิตคนรุ่นหนึ่งสู่รุ่นหนึ่งเป็นวงกลม วงกลมในแต่ละรุ่นจะต้องใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ หมายถึงต้องเจริญๆ ยิ่งๆ ขึ้นจากรุ่นสู่รุ่น วันนี้ปิ่นทำหน้าที่ได้ดีสมบูรณ์แล้ว เป็นความภาคภูมิใจของตระกูล ปุราเท เวลาที่พี่ปางคิดถึงปิ่น พี่ปางจะดูแลพ่อแม่ให้ดีที่สุด เพราะท่านคือผู้หล่อหลอมน้องด้วยการเลี้ยงดู ด้วยคำสอน ด้วยความรักจนเป็นน้องในวันนี้ หลับให้สบายนะ
ด้วยรัก
พี่ปางของน้องปิ่นตลอดไป
เภสัชกรหญิง ปางทิพย์ ปุราเท

 

ลุงดำ-ป้าอึ่ง ลุงและป้าอันเป็นที่รักของร.ต.อ.ปิ่นทัพ



คำอธิษฐานของลุงและป้า
“ขอให้ข้าพเจ้าเห็นความรักมั่นคงของพระองค์ในยามเช้า เพราะข้าพเจ้าวางใจในพระองค์ ขอทรงสำแดงทางที่ข้าพเจ้าจะไปเพราะข้าพเจ้าทูลอธิษฐานต่อพระองค์จากใจ”
“ซึ่งจากใจของข้าพเจ้าคือ “ที่ไหน” ที่หลานชายปิ่นทัพของข้าพเจ้าจะไป”
เสียงตอบจากสวรรค์
“สถานที่นั้นเป็นสถานที่คนชั่วหยุดวุ่นวาย คนเหนื่อยอ่อนก็ได้พักสงบ คนที่เป็นเชลยก็อยู่อย่างสบาย ไม่ได้ยินเสียงตะคอกจากนายทาสอีกต่อไป ทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยอยู่ที่สถานที่แห่งนั้น และทาสก็เป็นอิสระจากนาย เพราะฉะนั้น ลุงและป้าจึงได้เข้าใจว่าทางที่หลานปิ่นเลือกนั้น เป็นหนทางแห่งความจริง และเป็นชีวิตซึ่งสุดท้ายแล้ว ทางเหล่านั้นล้วนเป็นทางที่พระเจ้าได้มอบหนทางให้ไปหลานแล้ว”

 

คำอาลัย น้าตึ๋ง


เมื่อตอนปิ่นเรียน ม.5

ปิ่น          :               น้าตึ๋งเรียนถึง ม.5 แล้วไปสอบเทียบอะไรดีครับ

น้าตึ๋ง      :               สอบมันทุกอย่างแหละ แต่น้าชอบนายร้อยน่ะปิ่น

ปิ่น          :               สอบเทียบเตรียุมทหารติดแล้วน้าตึ๋ง แต่ยังไม่ได้เรียน ม.6 เลยครับ

น้าตึ๋ง      :               ถามพ่อ – แม่ดูซิ เอาไงดี แต่น้าว่า สอบติดแล้วจะไปเรียน ม.6 ทำไม เปลืองเงินพ่อ-แม่

ปิ่น          :               จริงด้วย เงินเราไม่ค่อยมีด้วย

น้าตึ๋ง      :               เรียนไปเลย พ่อเป็นทหาร ถ้าปิ่นเรียนตำรวจนะ น้าตึ๋งออกเงินให้หมดเลยค่าเรียน (ก็โม้ไป เพราะอยากให้หลานเป็นตำรวจ)

2 ปีต่อมา

ปิ่น          :               ปิ่นเลือกสามพรานนะน้าตึ๋ง

น้าตึ๋ง      :               อือ ดี ดี จะได้ช่วยคนอื่นได้เยอะๆ

4 ปี ต่อมา

ปิ่น          :               ปิ่นเรียนจบแล้วนะน้าตึ๋ง จะไปฝึกงานโรงพักแล้ว

น้าตึ๋ง      :               อือ มีอะไรให้น้าช่วยก็บอกนะ

เวลาผ่านไป 1 ปี

น้าตึ๋ง      :               ปิ่นไปเลือกทำงานที่ไหนล่ะ (ไม่รู้จริงๆ ว่า หลานไปทำงาน ตชด. พลร่มนเรศวร)

ปิ่น          :               ก็งานตำรวจนั่นละครับ

น้าตึ๋ง      :               อือ ดีดี ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดนะ

อีก 1-2 ปีกว่าๆ ต่อมา (โทรไปหา)

น้าตึ๋ง      :               ปิ่น น้าเห็นปิ่นใน Internet ปิ่นไปทำงานตำรวจที่ภาคใต้รึ

ปิ่น          :               ครับ ครับ

น้าตึ๋ง      :               ไม่กลัวหรือ

ปิ่น          :               ไม่เห็นมีอะไรนี่ครับ น่าอยู่จะตาย

น้าตึ๋ง      :               ไปอยู่ที่ไหนล่ะไปอยู่แทนผู้กองแทนกับหมวดตี้รึเปล่า

ปิ่น          :               ครับ ครับ ใกล้ๆ กัน

หลังจากนั้นไม่นานที่ได้คุยกัน

น้าตึ๋ง      :               (โทรไปหาปิ่น) น้าอยากไปเที่ยวจังที่ทำงานปิ่นที่ภาคใต้

ปิ่น          :               โอ๊ย ที่เที่ยวที่อิ่นก็มี

น้าตึ๋ง      :               เขื่อนบางลาง ปันนังสะตา ยะลา น้าตึ๋งยังไม่เคยไป ไม่อยากให้ไปหรือ บอกที่อยู่มาจะนั่งเครื่องไปหาดใหญ่แล้วนั่งรถไปเอง

ปิ่น          :               ดื้อจัง จะมาก็มาครับ บอกด้วยแล้วกันว่ามาถึงสนามบินหาดใหญ่เมื่อไหร่

แล้วเราก็ไปถึงหาดใหญ่ เจ้าปิ่นกับน้องๆ ตำรวจอีก 1 คน ก็เอารถมารับเราพร้อมกับอาวุธครบมือ ระเบิด ปืนอยู่ในรถเก๋งของลูกน้อง (ตัวเองไม่มีปัญญาซื้อ รถใช้ต้องใช้รถของลูกน้อง)

น้าตึ๋ง      :               ไม่ต้องมารับก็ได้ น่าตึ๋งนั่งรถไปหาได้ ประเทศไทยของเรารถเมล์ รถสองแถวเยอะแยะ

ปิ่น          :               มาแล้วก็ตามให้ทันก็แล้วกัน (ดูมันบอกเรา)

น้าตึ๋ง      :               (ระหว่างทางนั่งรถเข้าฐาน) ก็น่าอยู่ดีเนอะปิ่น มีตลาด มีถนนดี มีไฟฟ้า ไม่เห็นมีอะไรก็เหมือนตำบล หมู่บ้านทั่วๆ ไปเนอะ

ปิ่น          :               อืม ครับๆ น่าอยู่ครับ (แล้วก็หันไปพูดกับลูกน้อง ขับไปกะเวลาดูว่าให้มืดๆ บริเวณ……สถานที่)

ลูกน้อง  :               ครับ หมวด (ตอนนั้นยศแค่ ร.ต.ท.)

น้าตึ๋ง      :               ขับรถแถวนี้ดูคล่องแคล่วดีเนอะ

ปิ่น          :               ครับๆ (แต่สายตาเพ่งมองไปข้างหน้า มือกำปืนเตรียมพร้อม) เมื่อรถจอดแล้ว น้าตึ๋งเปิดประตูลงไปนั่งที่โต๊ะเลยนะ

น้าตึ๋ง      :               เออๆ แล้วรถก็จอดพรึบ เราก็เปิดประตูโดดลงไปนั่งตามคำสั่ง (ผ่านไปประมาณ 5 นาที)

ปิ่น          :               ขึ้นรถครับน้าตึ๋ง รถเก๋งจอดพรึบสั่งให้ขึ้นรถ จากนั้นมอเตอร์ไซด์ นำหน้า 3 คันหลังทะยานออกไปข้างหน้ารถเก๋งอยู่กลาง “อย่างที่บอกไว้นะครับน้าตึ๋งตามให้ทันก็แล้วกัน”

น้าตึ๋ง      :               รถวิ่งผ่านถนนไปตามแนวเขาหลายลูกด้วยความเร็วพอประมาณใช้ระยะเวลาประมาณ ครึ่งชั่วโมง “รถจอดพรืด อย่างที่บอกทุกคนจอดรถรวดเร็ว  รวมทั้งมอร์เตอร์ไซด์ แล้วทุกคนก็วิ่งขึ้นไปบนเนินเขา” แล้วเราจะอยู่รึ ปิ่นบอกว่าตามให้ทันก็แล้วกัน

ปิ่น          :               “เสือ” ให้น้าตึ๋งนอนด้วยนะ (หลังจากที่วิ่งตามทันขึ้นมาถึงที่พัก)

อีก 1 เดือนต่อมา

น้าตึ๋ง      :               ปิ่น น้าตึ๋งจะส่งเฟรมเสื้อเกราะ 60 ตัว ให้อาทิตย์หน้านะ

ปิ่น          :               ครับๆ ไปมอบให้กองร้อยค่ายนเรศวรก็ได้ครับแล้วเขาจะจัดส่งให้พร้อมทำหนังสือขอบคุณให้ครับ

น้าตึ๋ง      :               ยังไม่หมดแค่นี้นะยังมีผู้ใจบุญอีกหลายคนช่วยทำเฟรมเสื้อต่อไป

จากนั้นจนถึงปัจจุบันนี้

22 กันยายน 2555 เวลา 06.19 น. สนามบินสุวรรณภูมิ

ปิ่น          :น้าตึ๋งดูแลสุขภาพดีๆ นะ นี่นาฬิกาใหม่ เสื้อกันหนาว กระเป๋าสะพายไว้ใช้งานที่เมืองนอก น้าตึ๋งไม่ต้องห่วงปิ่น

น้าตึ๋ง      :               อือๆ ทำอะไรอย่าประมาทนะลูก ขอให้พระคุ้มครอง ปิ่นไปทำงานราชการลับรอบนี้เสร็จแล้วรีบกลับมาหาน้านะ วันที่ 10 -22 น้าได้พักร้อนแล้วเราจะได้ไปกินข้าวกัน

 

น้าตี๋


” รักนะ ไอ้หัวเหม็น”

จาก น้าตี๋

 

 

ถึงน้องชาย…… จากพี่หนึ่ง


 

 

ไม่รู้จะเอ่ยคำพูดใดๆ ที่จะเทียบกับความภาคภูมิใจ สำหรับน้องคนนี้ จากที่เราได้พบ และ ได้อยู่กับน้องมาพี่บอกได้คำเดียวว่า น้องเป็นเด็กน่ารักมาก ถึงแม้เราจะไม่มีโอกาสได้คุย และ ได้เจอกันบ่อย แต่ทุกครั้งที่มีโอกาสได้เจอ น้องไม่เคยทำให้พี่คนนี้ ผิดหวัง มักทราบข่าวดี และมี ความภาคภูมิใจ ทุกครั้ง
ปิ่น เป็นคนน่ารัก เค้าดูแลทุกคนด้วยใจ และ ความรู้สึกของเค้า ไม่ได้แค่หน้าที่ที่ได้รับผิดชอบ ซึ่งเราทุกคนรู้และสัมผัสได้ ซึ่งสิ่งเหล่านั้น และ เป็นความประทับใจที่จะไม่มีวันลบไปจากใจของเราทุกคนได้เลย
สุดท้าย พี่ขอให้น้องหลับอย่างมีความสุข อยู่ในอ้อมกอด ขององค์พระผู้เป็นเจ้า และ ปิ่นจะอยู่ในความทรงจำ
และ คำอธิฐานของพี่คนนี้ตลอดไป…
รักและภูมิใจน้องที่สุด
พี่หนึ่ง

 

เนรมิตร ศรีนครชัยเจริญ (พี่เขย)



ในความคิดของพี่ ปิ่นไม่ได้จากครอบครัวของเราไปไหน เรื่องราวความดีงามทั้งหลายที่ปิ่นได้กระทำ เป็นสิ่งที่เป็น “อมตะ” ให้ทุกคนได้ระลึกนึกถึง ไม่แม้แต่ครอบครัวของเราเอง ยังรวมถึงคนนอกครอบครัว ที่เคยได้ติดต่อ ทำงานร่วมกันมา คงได้สัมผัสรับรู้ถึงความมุ่งมั่น ความทุ่มเท ความเอาใจใส่ ความปรารถนาดี และอื่นๆ ที่ปิ่นเองมีความตั้งใจที่จะมอบให้ทุกคนโดยไม่ได้หวังถึงลาภยศ สรรเสริญ หรือสิ่งตอบแทนใดๆ แต่ทำไปด้วยใจที่บริสุทธิ์

การจากไปของน้องในครั้งนี้พี่เชื่อว่าเป็นการจากไปที่ไม่สูญเปล่า สังคมเมืองไทยได้รับรู้ว่าตำรวจที่ดี ที่เสียสละ และทำงานเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมยังมีอยู่จริงสิ่งที่พี่รับรู้ได้เสมอคือ ปิ่นปรารถนาและยึดถือแน่วแน่ตลอดว่าหวังอยากให้สังคมเมืองไทยมีความสงบสุข มีความสุข ผู้คนในสังคมรักใคร่ สามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

สุดท้ายนี้ พี่เนและครอบครัวศรีนครชัยเจริญ ขอไว้อาลัยถึงการจากไปในครั้งนี้ของน้องปิ่นคนดีของเรา ขอให้ดวงวิญญาณของน้องพักผ่อนให้สบาย ไม่ต้องมีห่วงกังวลใดๆ เรื่องราวความดีงามทั้งหลายที่ปิ่นได้กระทำ พี่จะเก็บไว้เล่าให้ลูก หลาน ญาติพี่น้อง คนรุ่นต่อไปได้ฟังและยึดถือเอาน้องปิ่นเป็นแรงบันดาลใจ และแบบอย่างในการดำเนินชีวิตต่อๆ ไป